เมนู

โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี1 1 ความไม่มี2 1 ก็เมื่อบุคคล
เห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีใน
โลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตาม
เป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วย
อุบาย อุปาทาน และอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น
ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัยอันเป็น
ที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์
นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับย่อมดับ พระ
อริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียง
เท่านี้แลกัจจานะ จึงชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ.
[44] ดูก่อนกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ 1 นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่
ส่วนสุดข้อที่ 2 นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง
ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้งสองนั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ. . . ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวล
นี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ เพราะอวิชชานั่นแหละดับ ด้วยการสำรอก
โดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ. . .ความดับ
แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้.
จบกัจจานโคตตสูตรที่ 5

อรรถกถากัจจานโคตตสูตรที่ 5



พึงทราบวินิจฉัยในกัจจานโคตตสูตรที่ 5 ดังต่อไปนี้

1. สัสสตทิฏฐิ 2. อุจเฉททิฏฐิ

บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาทิฏฺฐิ ความว่า เทวดาและมนุษย์ผู้
เป็นบัณฑิตกล่าวความเห็นชอบใด ๆ ท่านกัจจานะทูลถามย่อ ๆ ถึงความ
เห็นชอบนั้น ทั้งหมดเข้าด้วยบททั้งสอง บทว่า ทฺวยนิสฺสิโต ได้แก่
อาศัยส่วนทั้งสอง. ทรงแสดงถึงมหาชนที่เหลือ ยกเว้นพระอริยบุคคล
ด้วยบทว่า เยภุยฺเยน นี้. บทว่า อตฺถิตํ ได้แก่เที่ยง. บทว่า
นตฺถิตญฺจ ได้แก่ขาดสูญ. สังขารโลก ชื่อว่า โลก ความเกิดขึ้นแห่ง
สังขารโลกนั้น ชื่อว่า โลกสมุทัย. บทว่า สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสโต
ความว่า มรรคปัญญาพร้อมวิปัสสนา ชื่อว่า สัมมัปปัญญา ความรู้ชอบ
ผู้พิจารณาเห็นด้วยสัมมัปปัญญานั้น. บทว่า ยา โลเก นตฺถิตา ได้แก่
เมื่อเขาพิจารณาเห็นด้วยปัญญาในธรรมที่บังเกิดขึ้นในสังขารโลก อุจเฉท-
ทิฏฐิที่ว่าไม่มี จะพึงเกิดขึ้น ก็ย่อมไม่มี. บทว่า โลกนิโรธํ ได้แก่
ความแตกแห่งสังขารทั้งหลาย. บทว่า ยา โลเก อตฺถิตา ได้แก่
เมื่อเขาพิจารณาเห็นด้วยปัญญาในธรรมที่กำลังแตกในสังขารโลก สัสสต-
ทิฏฐิที่ว่ามีอยู่ จะพึงเกิดขึ้น ก็ย่อมไม่มี.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า โลกสมุทยํ ได้แก่ปัจจยาการโดยอนุโลม.
บทว่า โลกนิโรธํ ได้แก่ปัจจยาการฝ่ายปฏิโลม. ก็เมื่อบุคคลแม้จะพิจารณา
เห็น คือพิจารณาเห็นความไม่ขาดสูญแห่งธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
เพราะความไม่ขาดสูญแห่งปัจจัยทั้งหลาย อุจเฉททิฏฐิที่ว่าไม่มี จะพึงเกิด
ขึ้น ย่อมไม่มี. เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นความดับแห่งปัจจัย คือพิจารณา
เห็นความดับแห่งธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น เพราะปัจจัยดับ สัสสตทิฏฐิ
ที่ว่ามีอยู่ จะพึงเกิดขึ้น ก็จะไม่มี ความในข้อนี้มีดังกล่าวมานี้.

ความผูกพันกันด้วยอุบาย อุปาทาน และอภินิเวส ชื่อว่า อุปายุ-
ปาทานาภินิเวสวินิพันโธ ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปาทาย1ได้แก่อุบายมี 2
อย่าง คือ ตัณหาอุบาย และทิฏฐิอุบาย. นัยแม้ในอุปาทาน เป็นต้น
ก็เหมือนกันนี้. ก็ตัณหาและทิฏฐิ ท่านเรียกว่า อุบาย เพราะเข้าถึง
คือเข้าไปถึงธรรมอันเป็นไปในภูมิ 3 โดยอาการเป็นต้นว่า เรา ว่า
ของเรา. อนึ่ง ท่านว่า อุปาทาน และอภินิเวส เพราะถือมั่นและยึดมั่น
ธรรมเหล่านั้น. ก็โลกนี้ ถูกตัณหาและทิฏฐิเหล่านั้นผูกพันไว้ เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อุปาขุปาทานาภินิเวสวินิพนฺโธ.
บทว่า ตญฺจายํ ได้แก่ก่พระอริยสาวกนี้เข้าไปยึดถืออุบายและ
อุปาทานนั้น. บทว่า เจตโส อธิฏฺฐานํ ได้แก่เป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิต.
บทว่า อภินิเวสานุสยํ ได้แก่อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย. เพราะ
อกุศลจิตย่อมตั้งอยู่ในตัณหาและทิฏฐิ และตัณหาและทิฏฐิก็ตั้งมั่น และ
นอนเนื่องในอกุศลจิตนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวธรรมทั้งสอง
ประการนั้นว่า เป็นที่ตั้งมั่นและเป็นที่ยึดมั่นและนอนเนื่องแห่งจิต. บทว่า
น อุเปตี ได้แก่ไม่เข้าถึง. บทว่า น อุปาทิยติ ได้แก่ไม่ยึดถือ.
บทว่า นาธิฏฺฐาติ ได้แก่ไม่ตั้งมั่นว่า อะไรเป็นตัวตนของเรา. บทว่า
ทุกฺขเมว ได้แก่เพียงอุปาทานขันธ์ 5 เท่านั้น. บทว่า น กงฺขติ
ได้แก่ ไม่ทำความสงสัยว่า ความทุกข์นั่นแล ย่อมเกิดขึ้น ความทุกข์
ย่อมดับไป. ขึ้นชื่อว่า สัตว์อื่นในโลกนี้ไม่มี. บทว่า น วิจิกิจฺฉติ
ได้แก่ไม่ให้ความลังเลใจเกิดขึ้น.
บทว่า อปรปฺปจฺจยา ได้แก่เพราะผู้อื่นไม่ทำให้บรรลุ ความรู้
ประจักษ์เฉพาะตัวเท่านั้นของผู้นี้มีอยู่ในข้อนี้. ด้วยบทว่า เอตฺตาวตา

1. พม่า เป็น อุปย แปลว่า ความยึดถือ

โข กจฺจาน สมฺมาทิฏฺฐิ โหติ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงสัมมาทิฏฐิ
ที่เจือปนกันว่า ความเห็นชอบเพียงเท่านี้มีอยู่ เพราะละสัตตสัญญาได้ด้วย
อาการอย่างนั้น. บทว่า อยเมโก อนฺโต ได้แก่ที่สุดยอด ที่สุดทราม
อันเดียวกันนี้ จัดเป็นสัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่า เที่ยง อันที่หนึ่ง. บทว่า
อยํ ทุติโย ได้แก่ที่สุดยอด ที่สุดทราม กล่าวคือทิฏฐิที่จะเกิดขึ้นว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มี นี้จัดเป็นอุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่า ขาดสูญ อัน
ที่สอง. คำที่เหลือใช้ในข้อนี้ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาทุติยสมณพราหมณสูตรที่ 5

6. ธรรมกถิกสูตร



ว่าด้วยคุณธรรมของพระธรรมกถึก



[45] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ภิกษุรูป
หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้
มีพระภาคเจ้า
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า
ว่า พระพุทธเจ้าข้า ที่เรียกว่า ธรรมกถึก ธรรมกถีก ดังนี้ ด้วย
เหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่าธรรมกถึก.
[46] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ถ้าภิกษุแสดง
ธรรมเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับชราและมรณะ
ควรจะกล่าวว่า ภิกษุธรรมกถึก ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อ
ความคลายกำหนัด เพื่อความดับชราและมรณะ ควรจะกล่าวว่า ภิกษุ
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความหน่าย